วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รายงานผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกา

รายงานผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2012 วันที่ 6 พย. (อัพเดทล่าสุด)

 
รายงานผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2012 วันที่ 6 พย.

 รายงานผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2012 วันที่ 6 พย.


อัพเดทล่าุสุด ข่าวรายงานผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2012 วันที่ 7 พย.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครต สามารถรักษาเก้าอี้ผู้นำสหรัฐเป็นสมัยที่ 2 หลังคว้าชัยชนะขาดลอยเหนือนายมิตต์ รอมนีย์ ผู้ท้าชิงจากพรรครีพับลิกัน ด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้งล่าสุด 303  ต่อ 206  เสียง
โอบามา ซึ่งเคยสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้นำผิวสีคนแรกของสหรัฐ สร้างสถิติอีกครั้งด้วยการเป็นผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตคนที่ 2 ที่สามารถดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐติดต่อกัน 2 สมัย นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยผู้ที่สามารถทำได้คนแรก คืออดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐระหว่างปี 2535-2543
นอกจากนี้ โอบามายังสร้างประวัติศาสตร์เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนแรก ในรอบ 70 ปี ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 2 ขณะที่อัตราว่างงานสูงกว่า 7.4% แม้อัตราการจ้างงานโดยรวมจะเพิ่มขึ้นกว่า 5 ล้านตำแหน่ง แต่อัตราการว่างงานประจำเดือนต.ค. กลับอยู่ที่ 7.9%
อย่างไรก็ตาม ชาวอเมริกันกว่าครึ่งที่ออกมาใช้สิทธิ์ เชื่อว่าปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศกำลังเผชิญเป็น “ผลงาน” ของอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ไม่ใช่โอบามา
ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุน และประชาชนจำนวนมากมารวมตัวกันหน้าทำเนียบขาว พร้อมกับส่งเสียงโห่ร้องแสดงความดีใจ เช่นเดียวกับผู้ขับขี่รถยนต์แทบทุกคัน ที่ต่างพากันบีบแตรเมื่อแล่นผ่านทำเนียบขาว อันเป็นสัญลักษณ์แสดงความยินดีต่อชัยชนะที่จะนำไปสู่การครองตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกหนึ่งสมัย โอบามาทวีตข้อความเพียงสั้นๆผ่านทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของเขา @barackobama ขอบคุณประชาชนและผู้สนับสนุนทุกคน ที่ช่วยกันทำวันนี้ให้เป็นจริง
เช่นเดียวกับบริเวณภายนอกศูนย์ประชุมในเมืองชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ที่กลุ่มผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตเริ่มหลั่งไหลเข้ามาจับจองพื้นที่ เพื่อรอการปรากฏตัวของโอบามา และครอบครัว พร้อมกับรับฟังสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะของเขา
รายงานระบุว่า ระหว่างที่การลงคะแนนเลือกตั้งกำลังดำเนินอยู่ โอบามาร่วมเล่นบาสเกตบอลกับกลุ่มเพื่อนสนิท ซึ่งมีทั้งบุคคลในแวดวงการเมือง และนักบาสเกตบอลอาชีพจากทีมชิคาโก บูลส์ ซึ่งเป็นธรรมเนียมที่โอบามาปฏิบัติตั้งแต่วันหยั่งเสียงเลือกตั้งเบื้องต้น เพื่อหาตัวแทนพรรคเดโมแครตลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดี ระหว่างเขากับนางฮอลลารี คลินตัน เมื่อปี 2551
แม้ผลการนับคะแนนจะยังไม่เสร็จสิ้นครบทั้ง 50 รัฐ แต่โอบามีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งล่าสุดอยู่ที่ 303  จาก 538 เสียง ซึ่งถือว่าเกิน 270 เสียงตามที่รัฐธรรมนูญสหรัฐบัญญัติไว้ โดยโอบามาได้รับชัยชนะในรัฐดังต่อไปนี้ ( รัฐ-คะแนนคณะผู้เลือกตั้ง )
แคลิฟอร์เนีย – 55 เสียง
คอนเนกติกัต – 5 เสียง
โคโลราโด – 9 เสียง
เดลาแวร์ – 3 เสียง
ฮาวาย – 4 เสียง
อิลลินอยส์ – 20 เสียง
ไอโอวา – 6 เสียง
เมน – 4 เสียง
แมริแลนด์ – 10 เสียง
แมสซาชูเซตส์ – 11 เสียง
มิชิแกน – 16 เสียง
มินนิโซตา – 10 เสียง
นิวแฮมป์เชียร์ – 4 เสียง
นิวเจอร์ซีย์ – 14 เสียง
นิวเม็กซิโก – 5 เสียง
นิวยอร์ก – 29 เสียง
เนวาดา – 6 เสียง
โอไฮโอ – 18 เสียง
ออริกอน – 7 เสียง
เพนซิลเวเนีย – 20 เสียง
ฟลอริดา – 29 เสียง
โรดไอแลนด์ – 4 เสียง
เวอร์จิเนีย – 13 เสียง
เวอร์มอนต์ – 3 เสียง
วอชิงตัน ดีซี – 3 เสียง
วอชิงตัน – 12 เสียง
วิสคอนซิน – 10 เสียง
ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งตัวขึ้นทันทีเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโร ตอบรับชัยชนะของโอบามา โดยมาปิดอยู่ที่ 1.2860 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 ยูโร ในการซื้อขายเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ในตลาดโตเกียว และอยู่ที่ 1.2814 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 ยูโร หลังการซื้อขายในตลาดนิวยอร์กเมื่อวันอังคาร แต่เมื่อเทียบกับค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแล้วอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 80.05 เยน ในตลาดโตเกียว และ 80.34 เยนในตลาดนิวยอร์ก
ล่าสุดรอมนีย์ขึ้นเวทีที่ศูนย์ประสานงานเลือกตั้งของเขาในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ กล่าวแสดงความยินดีต่อโอบามา และอวยพรให้อีกฝ่ายประสบความสำเร็จ พร้อมกับยอมรับความพ่ายแพ้ และขอบคุณทีมงานหาเสียงของเขาทุกคน รวมถึงนายพอล ไรอัน ผู้สมัครคู่กับเขาในตำแหน่งรองประธานาธิบดี ที่ทำงานกันอย่างหนักตลอดระยะเวลากว่า 6 เดือนที่ผ่านมา.

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รูปแบบการปกครองของไทย

รูปแบบการปกครองของไทย



เมืองหลวง: กรุงเทพมหานคร
ภาษาราชการ: ภาษาไทย
รัฐบาล: ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญแบบรัฐสภา
- พระมหากษัตริย์: พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
- นายกรัฐมนตรี: สมชาย วงศ์สวัสดิ์

ประวัติศาสตร์ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนาน นับแต่การล่มสลายของราชอาณาจักรขอม-จักรวรรดินครวัต นครธม เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13[1] และมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรโบราณหลายแห่ง เช่น อาณาจักรทวารวดี ศรีวิชัย ละโว้ เขมร ฯลฯ

ประวัติศาสตร์ไทยเริ่มเป็นรูปเป็นร่างใน พ.ศ. 1781 ตรงกับสมัยอาณาจักรสุโขทัย และสมัยอาณาจักรล้านนาแห่งภาคเหนือ กระทั่งอาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจลงในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 19 ความรุ่งเรืองจึงปรากฏในอาณาจักรทางใต้คือกรุงศรีอยุธยาแทน ครั้นเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่สองใน พ.ศ. 2310 พระเจ้าตากสินจึงทรงย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี อย่างไรก็ดี ในช่วงดังกล่าวประเทศไทยมีอาณาเขตไม่แน่ชัด

ภายหลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เมื่อพ.ศ. 2325 อาณาจักรสยามเริ่มมีความเป็นปึกแผ่น โดยได้มีการผนวกดินแดนบางส่วนของอาณาจักรล้านช้างเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ครั้นในรัชกาลที่ 5 จึงได้มีการผนวกเอาเมืองเชียงใหม่ หรืออาณาจักรล้านนา อันเป็นการผนวกดินแดนครั้งใหญ่ครั้งสุดท้าย

วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยแต่ก็ต้องรออีกถึงสี่สิบเอ็ดปีจึงจะได้นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2516 ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นมีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยอีกสองครั้งคือ เหตุการณ์ 6 ตุลา และ เหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ล่าสุดได้เกิดรัฐประหารขึ้นอีกครั้งในเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งเป็นการยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการ หลังจากได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2549

การปกครอง
เดิมประเทศไทยมีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยาเป็นต้นมา จนกระทั่งวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 คณะราษฎรได้กระทำรัฐประหาร ในสมัยรัชกาลที่ 7 และเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยเป็นสามฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ปัจจุบัน ประเทศไทยดำรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 แห่งราชอาณาจักรไทย

อำนาจนิติบัญญัติมีรัฐสภาซึ่งมีสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งเป็นองค์กรบริหารอำนาจ อำนาจบริหารมีนายกรัฐมนตรีซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ตามคำกราบบังคมทูลของประธานรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำกราบบังคมทูลของนายกรัฐมนตรีเป็นองค์กรบริหารอำนาจ และอำนาจตุลาการมีศาลซึ่งประกอบด้วยศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครองเป็นองค์กรบริหารอำนาจ

ปัจจุบัน ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาควบคู่ไปกับระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ประมุขแห่งรัฐได้แก่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ประมุขแห่งอำนาจอธิปไตยทั้งสาม ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติมีนายชัย ชิดชอบในฐานะประธานรัฐสภาเป็นประมุข อำนาจบริหารมีนายสมัคร สุนทรเวชในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นประมุข และอำนาจตุลาการมีนายวิรัช ลิ้มวิชัยในฐานะประธานศาลฎีกาเป็นประมุข

การแบ่งเขตการปกครอง


ประเทศไทยแบ่งเขตการบริหารออกเป็น การบริหารราชการส่วนภูมิภาค ได้แก่จังหวัด 75 จังหวัด และการปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบล ส่วน'สุขาภิบาล'นั้นถูกยกฐานะไปเป็นเทศบาลทั้งหมดในปี พ.ศ. 2542

ส่วนกรุงเทพมหานครและเมืองพัทยาเป็นเขตการปกครองแบบพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดปทุมธานี จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดนครปฐม ถูกเรียกเป็นเขตที่เรียกว่า "กรุงเทพมหานครและปริมณฑล"

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Youtube

ชอบYoutubeนี้เพราะเพลงเพราโดนใจวัยรุ่น

ชอบYoutubeนี้เพราะเป็นหนังที่ชอบมากที่สุดทีึ่เคยมีมา

ความรู้เรื่องASEAN

asean_564
asean flags2

กำเนิดอาเซียน
       อาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of South East AsianNations หรือ ASEAN) ก่อตั้งขึ้นโดยปฏิญญากรุงเทพ (Bangkok Declaration) ซึ่งได้มีการลงนามที่วังสราญรมย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2510 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสมาชิกก่อตั้ง 5 ประเทศ ได้แก่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ซึ่งผู้แทนทั้ง 5 ประเทศ ประกอบด้วยนายอาดัม มาลิก (รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย) ตุน อับดุล ราชัก บิน ฮุสเซน (รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติมาเลเซีย) นายนาซิโซ รามอส (รัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์) นายเอส ราชารัตนัม (รัฐมนตรีต่างประเทศสิงค์โปร์) และพันเอก (พิเศษ) ถนัด คอมันตร์ (รัฐมนตรีต่างประเทศไทย)

      ในเวลาต่อมาได้มีประเทศต่างๆ เข้าเป็นสมาชิกเพิ่มเติม ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม (เป็นสมาชิกเมื่อ 8 ม.ค.2527) เวียดนาม (วันที่ 28 ก.ค. 2538) สปป.ลาว พม่า (วันที่ 23 ก.ค. 2540) และ กัมพูชา เข้าเป็นสมาชิกล่าสุด (วันที่ 30 เม.ย. 2542) ให้ปัจจุบันมีสมาชิกอาเซียนทั้งหมด 10 ประเทศ

      วัตถุประสงค์ของการก่อตั้งอาเซียน คือ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีต่อกันระหว่างประเทศในภูมิภาค ธำรงไว้ซึ่งสันติภาพเสถียรภาพ และความมั่นคงทางการเมือง สร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาทางสังคมและวัฒนธรรมการกินดีอยู่ดีของประชาชนบนพื้นฐานของความเสมอภาคและผลประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิก
สัญลักษณ์ของอาเซียน 
        คือ รูปรวงข้าว สีเหลืองบนพื้นสีแดงล้อมรอบด้วยวงกลม สีขาวและสีน้ำเงิน
รวงข้าว 10 ต้น หมายถึง ประเทศสมาชิก 10 ประเทศ
สีเหลือง  หมายถึง  ความเจริญรุ่งเรือง 
สีแดง  หมายถึง  ความกล้าหาญและการมีพลวัติ
สีขาว  หมายถึง  ความบริสุทธิ์ 
สีน้ำเงิน  หมายถึง  สันติภาพและความมั่นคง
กฎบัตรอาเซียน (ASEAN Charter)

         ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 13 เมื่อปี 2550 ที่ประเทศสิงค์โปร์ ผู้นำอาเซียนได้ลงนามในกฎบัตร  อาเซียนซึ่งเปรียบเสมือนธรรมนูญของอาเซียนที่จะวางกรอบทางกฎหมายและโครงสร้างองค์กรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของอาเซียน ในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ภายในปี 2558 (ค.ศ. 2015) ตามที่ผู้นำอาเซียนได้ตกลงกันไว้ โดยวัตถุประสงค์ของกฎบัตรอาเซียน คือ ทำให้อาเซียนเป็นองค์การที่มีประสิทธิภาพ มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเคารพกฎกติกาในการทำงานมากขึ้น นอกจากนี้ กฎบัตรจะให้สถานะนิติบุคคลแก่อาเซียนเป็นองค์กรระหว่างรัฐบาล (Intergovernmental Organization)

กฎบัตรอาเซียน ประกอบด้วยข้อบทต่าง ๆ 13 บท 55 ข้อ มีประเด็นใหม่ที่แสดงความก้าวหน้าของอาเซียน ได้แก่
(1) การจัดตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนของอาเซียน     
(2) การให้อำนาจเลขาธิการอาเซียนสอดส่องและรายงานการทำตามความตกลงของรัฐสมาชิก     
(3) การจัดตั้งกลไกสำหรับการระงับข้อพิพาทต่าง ๆ ระหว่างประเทศสมาชิก     
(4) การให้ผู้นำเป็น ผู้ตัดสินว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อรัฐผู้ละเมิดพันธกรณีตามกฎบัตรฯ อย่างร้ายแรง     
(5) การเปิดช่องให้ใช้วิธีการอื่นในการตัดสินใจได้หากไม่มีฉันทามติ     
(6) การส่งเสริมการปรึกษาหารือกันระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อผลประโยชน์ร่วม    
(7) การเพิ่มบทบาทของประธานอาเซียนเพื่อให้อาเซียนสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที     
(8) การเปิดช่องทางให้อาเซียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับองค์กรภาคประชาสังคมมากขึ้น และ     (9) การปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ให้มีการประชุมสุดยอดอาเซียน 2 ครั้งต่อปี จัดตั้งคณะมนตรีเพื่อประสานความร่วมมือในแต่ละ 3 เสาหลัก และการมีคณะกรรมการผู้แทนถาวรประจำอาเซียน ที่กรุงจาการ์ตา เพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการประชุมของอาเซียน เป็นต้น

           กฎบัตรอาเซียนมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2551 หลังจากที่ประเทศสมาชิกครบทั้ง 10 ประเทศ ได้ให้สัตยาบันกฎบัตร และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ระหว่างวันที่ 28 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2552 ที่จังหวัดเพชรบุรีเป็นการประชุมระดับผู้นำอาเซียนครั้งแรกหลังจากกฎบัตรมีผลบังคับใช้ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community)


  ประชาคมอาเซียนประกอบด้วยความร่วมมือ 3 เสาหลัก คือ


  ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political and Security Community–APSC)

  ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community–AEC)

  ประชาคมสังคมและวัฒนธรรม (ASEAN Socio-Cultural Community–ASCC)

1. ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน(ASEAN Political and Security Community – APSC)

           มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างและธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค เพื่อให้ประเทศในภูมิภาคอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และสามารถแก้ไขปัญหาและความขัดแย้ง โดยสันติวิธี อาเซียนจึงได้จัดทำแผนงานการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community Blueprint) โดยเน้นใน 3 ประการ คือ
          1) การมีกฎเกณฑ์และค่านิยมร่วมกัน ครอบคลุมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะร่วมกันทำเพื่อสร้างความเข้าใจในระบบสังคมวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ที่แตกต่างของประเทศสมาชิก ส่งเสริมพัฒนาการทางการเมืองไปในทิศทางเดียวกัน เช่น หลักการประชาธิปไตย การส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม การต่อต้านการทจริต การส่งเสริมหลักนิติธรรมและธรรมาภิบาล เป็นต้น
          2) ส่งเสริมความสงบสุขและรับผิดชอบร่วมกันในการรักษาความมั่นคงสำหรับประชาชนที่ครอบคลุมในทุกด้านครอบคลุมความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในรูปแบบเดิม มาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจและการระงับข้อพิพาท โดยสันติเพื่อป้องกันสงครามและให้ประเทศสมาชิกอาเซียนอยู่ด้วยกัน โดยสงบสุขและไม่มีความหวาดระแวง และขยายความร่วมมือเพื่อต่อต้านภัยคุกคามรูปแบบใหม่ เช่น การต่อต้านการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติต่าง ๆ เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันและจัดการภัยพิบัติและภัยธรรมชาติ
          3) การมีพลวัตและปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก เพื่อเสริมสร้างบทบาทของอาเซียนในความร่วมมือระดับภูมิภาค เช่น กรอบอาเซียน+3 กับจีน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ตลอดจนความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งกับมิตรประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ

2.ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(ASEAN Political-Security Community-AEC)
          มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้อาเซียนมีตลาดและฐานการผลิตเดียวกันและมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน  เงินทุน และแรงงานมีฝีมืออย่างเสรี อาเซียนได้จัดทำแผนงาน การจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community Blueprint) ซึ่งเป็นแผนงานบูรณาการการดำเนินงานในด้านเศรษฐกิจเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ 4 ด้าน คือ
         1) การเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว (single market and production base) โดยจะมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานมีฝีมืออย่างเสรี และการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรีมากขึ้น
         2) การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของอาเซียน โดยให้ความสำคัญกับประเด็นนโยบายที่จะช่วยส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ เช่น นโยบายการแข่งขัน การคุ้มครองผู้บริโภค สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา นโยบายภาษี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (การเงิน การขนส่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ และพลังงาน)
         3) การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค ให้มีการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการเสริมสร้างขีดความสามารถผ่านโครงการต่าง ๆ
         4) การบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก เน้นการปรับประสานนโยบายเศรษฐกิจของอาเซียนกับประเทศภายนอกภูมิภาคเพื่อให้อาเซียนมีท่าทีร่วมกันอย่างชัดเจน

3. ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community – ASCC)

          อาเซียนได้ตั้งเป้าเป็นประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ในปี 2558 โดยมุ่งหวังเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีสังคมที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน ประชากรอาเซียนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีและมีการพัฒนาในทุกด้านเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมอัตลักษณ์อาเซียน (ASEAN Identity)เพื่อรองรับการเป็นประชาคมสังคม และวัฒนธรรมอาเซียน โดยได้จัดทำแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community Blueprint)ซึ่งประกอบด้วยความร่วมมือใน 6 ด้าน ได้แก่
      1) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
      2) การคุ้มครองและสวัสดิการสังคม
      3) สิทธิและความยุติธรรมทางสังคม
      4) ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
      5) การสร้างอัตลักษณ์อาเซียน
      6) การลดช่องว่างทางการพัฒนา


ที่มาของข้อมูล


http://203.172.142.8/en/index.php?option=com_content&view=article&id=4&Itemid=21


http://www.thaimaster.info/pornpilai/wannisa/asean/asean_info.html

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ประวัติส่วนตัว







ดิฉันชื่อ นางสาวฐิติพร  เนียมวงษ์

เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4/9


เรียนวิชาศิลปภาษา อังกฤษ - ฝรั่งเศษ


โรงเรียนวรนารีเฉลิม  จังหวัดสงขลา


มีพี่น้อง 2 คน ดิฉันเป็นคนที่2


อนาคตอยากเรียน เกี่ยวกับการบิน


อาหารที่ชอบ เครื่องแกงรวมมิตร,ราดหน้าหมี่กรอบ


เพื่อนสนิทชื่อ โบว์, เบนท์, กิ๊ก, อั๊น, เฟริ์น, แนน


ชอบสี่ เขียว ,ขาว ,ส้ม , ชมพู


ที่อยู่ 77/3 ถ. ชัย - เพชรมงคล อ.เมือง จ.สงขลา 90000


E-Mail : neamwong@hotmail.com / nutnee.22@gmail.com